Nikon D3200 vs D5200 เลือกตัวไหนดี ?

         เลือกตัวไหนกันดี ระหว่าง D5200 กับ D3200  ?


                   …ระหว่าง Nikon D3200 และ D5200 ตัวไหนดีกว่ากัน
                   ....ซื้อตัวไหนดี ระหว่าง Nikon D3200 และ D5200

เปรียบเทียบกันให้เห็นแบบจะจะ ไปเลยว่า ระหว่าง Nikon D3200 vs D5200  ควรจะสอยตัวไหนมาใช้?

วีดีโอ เปรียบเทียบ D5200 vs D3200



• ราคา 

    อันดับแรกดูที่ความต่างเรื่องราคา…D5200 มีค่าสู่ขอเฉพาะตัวกล้องอยู่ที่ 22,900 บาท
ส่วน D3200 อยู่ที่ 17,900 บาท ต่างกันอยู่ห้าพันบาท (ราคาอ้างอิงจากร้าน Fotofile ณ มีนาคม 2556)

ส่วนต่างห้าพันบาทนี้ให้อะไรในชีวิตเราบ้าง? คุ้มกับที่จะจ่ายเพิ่มดีมั๊ย? ต้องลองติดตาม
สองรุ่นนี้หน้าตาภายนอกจะต่างกันเล็กน้อย… D5200 จะดูแน่นหนาบึกบึนมากกว่า ดูน่าใช้มากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายอะไรนักเพราะต่างก็เป็นกล้องระดับ Entry Level เหมือนกัน อย่าเอาไปเทียบกับรุ่นใหญ่ เพราะมันจะต่างกันอยู่หลายขุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุหรือราคา
ลองดูจากสเปคบางส่วนจะเห็นข้อที่แตกต่างกันอยู่พอประมาณ เราจะมาลองดูทีละเรื่องเลย


• CMOS Image Sensor
เซนเซอร์รับภาพจะมีความสามารถแตกต่างกันนิดเดียว (จริงๆ) ขนาดของมันก็จะต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วมันน่าจะใช้เซนเซอร์รับภาพตัวเดียวกัน แต่อันที่จริงไม่ใช่ ซึ่งต่างก็เป็นเซนเซอร์รับภาพที่มีความละเอียดบ้าพลังสำหรับความเป็น Entry Level กันทั้งคู่ เพราะความละเอียดระดับนี้เอาไปพิมพ์โปสเตอร์ได้สบายๆ สำหรับผมแล้วคิดว่ามันออกจะเกินความจำเป็นสำหรับมือใหม่ไปสักนิด (บางทีมันอาจจะเปลืองไปหน่อยก็ได้ ก็ยังดีที่ยังสามารถปรับเลือกไปเป็นความละเอียดที่ต่ำลงได้) แต่เค้าก็อุตส่าห์ให้มาขนาดนี้แล้ว ก็ถือว่าถึงจะเป็นเซนเซอร์คนละตัวแต่คุณภาพก็ดีพอๆ กัน ดังนั้นจุดนี้จึงไม่ซีเรียสมากนัก

• ISO
D5200 จะได้เปรียบมากกว่าไปหนึ่งขั้น นั่นก็คือสามารถทำความไวแสงขึ้นไปได้ถึง 25600 ในขณะที่ D3200 อยู่ที่สูงสุด 12800 ถามว่าจำเป็นมากมั๊ยกับระดับความไวแสงที่เพิ่มสูงขึ้นไปหนึ่งขั้น? ก็ถือว่าได้เปรียบในแง่ของการใช้งานในสภาพแสงน้อย แต่ไม่ใช่เพื่อคุณภาพของภาพ เพราะที่ความไวแสงระดับนั้นแน่นอนว่า “น๊อยส์” หรือจุดรบกวนก็ย่อมจะต้องบานตะเกียงเป็นธรรมดา ซึ่งก็คงจะมีโอกาสน้อยนักที่จะใช้ ISO ถึงระดับนั้น ถ้าจะว่ากันที่เรื่องคุณภาพของภาพถ่ายจริงๆ



• Focus point
D5200 ได้เปรียบมากกว่าอย่างชัดเจนในเรื่องนี้้ เพราะมีจุดออโตโฟกัสมากถึง 39 จุด ในขณะที่ D3200 มีเพียง 11 จุด อันนี้มีไว้เพื่ออะไร? ก็มีไว้เพื่อใช้ในการตรวจจับโฟกัสด้วยระบบอัตโนมัติของกล้อง การที่มีจุดโฟกัสมากก็จะยิ่งครอบคลุมพื้นที่และมีความแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราถ่ายภาพแบบ “ติดตามวัตถุ” จุดโฟกัสที่มีมากกว่าก็จะติดตามได้ต่อเนื่องมากกว่า แม่นยำมากกว่าเพราะมีหลายตัวส่งต่อหน้าที่ถึงกัน ช่วยกันทำงาน…อะไรประมาณนั้น
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือการถ่ายภาพกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวด เร็วมากๆ จำนวนจุดโฟกัสที่มีอยู่มากก็จะยิ่งช่วยให้แม่นยำต่อการเคลื่อนที่เปลี่ยน ตำแหน่งตลอดเวลามากยิ่งขึ้น ลดโอกาสในการ “หลุด” จากโฟกัสได้มากยิ่งขึ้นด้วย

• Monitor
เรื่องนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็น “จุดตาย” สำหรับข้อแตกต่างที่สำคัญของกล้องเล็กสองตัวนี้เลยก็ว่าได้ เพราะถึงแม้ขนาดและความละเอียดจะเท่ากัน แต่ D5200 มีดีกว่าตรงที่มันสามารถหมุนปรับเปลี่ยนองศาการมองได้หลายทิศทาง คุณอาจคิดว่าก็ไม่เห็นจะจำเป็น เพราะ DSLR ก็ต้องเอาตาไปแนบกับช่องมองภาพอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะหมุนจอไปทำไม?
กล้องทั้งคู่ต่างก็มีระบบ Live view ที่สามารถดูภาพก่อนถ่ายได้ (ถ่ายทอดภาพมาจากเซนเซอร์รับภาพโดยตรง) ซึ่งเมื่อใช้ระบบนี้ เราก็จะสามารถดูภาพหรือดูมุมก่อนถ่ายภาพบนจอได้ ซึ่งมันก็จะช่วยให้เราถ่ายภาพมุมสูงโดยการชูกล้องขึ้นไป หรือมุมต่ำที่หย่อนกล้องลงไป แล้วดูมุมภาพจากจอได้เหมือนกับกล้องวีดีโอ ซึ่งมันจะช่วยในเรื่องการสร้างสรรค์มุมภาพได้เป็นอย่างมาก สะดวกกว่ากันเห็นๆ เลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้วิธีการเดาสุ่มไป ถูกใจก็จบ ไม่ถูกใจก็สุ่มกันไปเรื่อยๆ แล้วการถ่ายภาพเนี่ยมันมีจังหวะเดิมๆ รอเราอยู่ตลอดเวลาเสียที่ไหนกันล่ะ?
หรือประเภทชอบถ่ายภาพตัวเอง หรือถ่ายภาพคู่ด้วยตัวเอง เราก็พับจอมามองเห็นตัวเองได้ด้วย นี่กำลังฮิตสำหรับกล้องถ่ายภาพในยุคนี้เลยเชียวนะ!
• Continuous Drive
เรื่องของการถ่ายภาพต่อเนื่องที่ D5200 เร็วกว่าอยู่หนึ่งภาพ อันนี้สำหรับการถ่ายภาพบางสถานการณ์ที่ต้องการความต่อเนื่องหรือตัวแบบซึ่ง ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ความเร็วที่มากกว่านั้นก็จะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ภาพจังหวะดีๆ มากขึ้นอีกหนึ่งภาพ แต่สำหรับทั้งคู่ก็ยังไม่ถึงกับแตกต่างมากมายชนิดเห็นหน้าเห็นหลัง ซึ่งบอกตรงๆ ว่าเรื่องนี้ต้องพึ่งพาบุญเก่าที่จะเอาจังหวะงามๆ มายัดใส่เซนเซอร์รับภาพให้เราด้วย ดังนั้นอย่าไปซีเรียสกับข้อนี้มากมายนัก
• VDO
กล้อง DSLR ยุคปัจจุบันสามารถบันทึก VDO ระดับ HD กันได้หมดแล้ว ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ D5200 สามารถบันทึกที่ระดับความเร็วสูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที ความเร็วของการเล่นวีดีโอระบบ NTSC อยู่ที่ 30 เฟรมต่อวินาที แล้วจะมี 60 เฟรมต่อวินาทีไปเพื่ออะไร?
คำตอบก็คือ สำหรับการนำภาพมาเล่นแบบ “Slow motion” ได้นุ่มนวลยิ่งกว่า เพราะจำนวนภาพที่มากกว่าอยู่หนึ่งเท่าตัว เมื่อนำกลับมาเล่นที่อัตราปกติ เราก็จะได้ภาพสโลว์โมชั่นที่ “เนียน” กว่าจำนวนภาพในอัตราปกตินั่นเอง
…ไม่ได้ใช้เหรอ? งั้นก็ลืมมันไปเสียเถอะ
อ้อ…อีกอย่างหนึ่งที่ต่างกันก็คือ D5200 มีระบบบันทึกเสียงแบบ Stereo อยู่ในตัว ส่วน D3200 นั้นเป็นแบบ Mono ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะมีเสียงดังออกมาที่ลำโพงแค่ข้างเดียวนะ มันจะถูกรวมไปดังทั้งสองข้าง แต่ไม่มีการแยกเสียงซ้าย-ขวา ตามปกติของระบบ Stereo นั่นเอง
ถ้าอยากจะบันทึกเสียงแบบ Stereo ใน D3200 ก็ต้องเพิ่มไมโครโฟนแบบต่อภายนอก…ก็ต้องซื้อเพิ่มนั่นแหละ
• Special Feature
D5200 มีระบบการบันทึกภาพแบบ Timelapse อัตโนมัติมาให้ใช้ มันคืออะไร? มันก็คือภาพ VDO แบบเร่งความเร็วที่เราเห็นกันทั่วไปในยุคนี้นั่นแหละ โดยระบบจะทำการถ่ายภาพนิ่งแบบอัตโนมัติในทุกๆ ระยะห่างกี่วินาทีหรือกี่นาทีก็ตามแต่ที่เราจะกำหนด ซึ่งไฟล์ภาพนิ่งเหล่านั้นเราก็จะนำมันกลับมาต่อกันให้เป็น VDO แบบเร่งความเร็วอย่างที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ นั่นเอง
คุณสมบัตินี้ไม่มีใน D3200 ถ้าอยากได้ก็คงจะต้องไปหาซื้อเครื่องมือเพิ่มเติม แต่ถ้าอยากได้ก็ต้อง D5200 นั่นเลย

ทั้งหมดนั้นคือข้อแตกต่างทางคุณสมบัติที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งก็คงมีรายละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างกันอยู่อีกบ้าง แต่ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่สำคัญมากเท่าไหร่นัก ทั้งเจ็ดข้อแตกต่างที่ผ่านมานั้นสามารถใช้เป็นจุดพิจารณาได้ว่า คุณจะยอมจ่ายเพิ่มอีกห้าพันบาทหรือไม่? ซึ่งห้าพันบาทนี้สามารถเปลี่ยนไปเป็นกระเป๋า, ขาตั้ง, ฟิลเตอร์, การ์ดหน่วยความจำ ฯลฯ ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับมือใหม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นคุณต้องลองพิจารณาดูให้ดี โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องซื้อกล้องให้กับเด็กๆ หรือใครสักคนหนึ่งที่ยังไม่รู้แน่ว่า นี่จะเป็น “ของจริง” หรือ “ของเล่น” สำหรับเขากันแน่? ส่วนต่างห้าพันก็ไม่ใช่น้อยเลยนะคุณ

ถ้าเป็นผมก็บอกได้เลยว่าเลือก D5200 แน่นอน เฉพาะแค่เรื่องจอหมุนได้นั่นก็ทำให้ตัดสินใจได้แล้วล่ะ เพราะมันจะช่วยให้การถ่ายภาพแบบเล่นมุมมองสะดวกขึ้นอีกเยอะแยะเลยเชียว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น …ให้ไปลองจับ ลองเล่นดู ทั้งคู่ ไปลองจับลองถ่ายดู เพราะตรงนั้นจะบอกอะไรคุณได้อีกมากมายก่ายกองเลยเชียวล่ะ ซึ่งบางทีส่วนต่างห้าพันที่ว่าอาจจะไม่ใช่ประเด็นอันเป็นสาระสำคัญอีกแล้วก็ เป็นได้!


เขียนโดย ปิยะฉัตร แกหลง  
ขอขอบคุณ photonextor.com Emagazine การถ่ายภาพที่ฟรีและดีอีกเล่มหนึ่งของเมืองไทย




0 comments: